‘เพื่อไทย’ ใกล้ถึงวันดับสูญแล้ว! ‘จตุพร’ ฟันธง ‘เศรษฐา’ ชวดเก้าอี้นายกฯ แน่นอน

17 สิงหาคม 2566 นาย จตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์รายการประเทศไทย
ต้องมาก่อน เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2566 ตอน “ตามกรรม” โดยมั่นใจว่านายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดต

 

นายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ไม่มีวันได้เป็นนายกฯ แน่นอน เพราะ สว.ไม่โหวตเสียงให้ ซ้ำร้ายเมื่อจับมือ

ข้ามขั้วกับพรรค 2 ลุง ยิ่งไม่เหลือประชาชนคอยปกป้องคุ้มกัน แล้วหายนะจะโหมถล่มจนแทบสูญสิ้นทางการเมือง

นาย จตุพร กล่าวว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เปรียบการตั้งรัฐบาลของเพื่อไทยว่ามีความ
เจ็บปวดเหมือนทารกแรกเกิดจากครรภ์มารดา แต่ความจริงแล้วควรอธิบายว่า เจ็บปวดเหมือนคนแก่กำลังเข้าโรงมากกว่า
เพราะทารกแรกเกิดจะมีชีวิตใหม่ และตรงกันข้ามกับความหายนะที่ได้อำนาจด้วยการตระบัดสัตย์ กลับกลอกต่อผู้สนับ

สนุนมากมาย ดังนั้น อย่ามาทำอวดดีเป็นคนเสียสละ ในบรรดา 8 พรรค MOU จับมือตั้งรัฐบาลที่ผ่านมานั้น เพื่อไทย
ต่อต้านพรรคภูมิใจไทยไม่ให้เข้าร่วมรัฐบาลเด็ดขาด หลังจากฉีก MOU แล้ว ภูมิใจไทยเป็นพรรคแรกที่เพื่อไทยเชิญ
มาเจรจาเข้าร่วมรัฐบาลด้วย จึงเป็นวิธีการที่บัดซบและน่าละอายกับความไม่ซื่อตรงต่อมิตรอย่างยิ่ง นาย จตุพร เสนอต่อ

นายเศรษฐา ว่า ต้องพิสูจน์ข้อกล่าวหาที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นำมาเปิดโปง โดยใช้ข้อเท็จจริงมาเปิดเผยเป็นข้อๆ
อย่าชี้แจงเหมารวม เพราะถ้ายังเก็บเงียบแล้วเมื่อเข้าสู่การอภิปรายในสภาจะถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้นถึงคุณสมบัติความซื่อสัตย์
สุจริต จริยธรรมนักการเมือง รวมทั้งคำประกาศจะแก้ ม.112 เมื่อช่วงหาเสียงเลือกตั้ง สว.ก็คงไม่ละเว้น ส่วน

นายเศรษฐา ในฐานะผู้บริหารสูงสุดไม่รู้รายละเอียดการตั้งบริษัทนอมินีมากู้เงินหรือไม่นั้น เงินกู้ 1,000 ล้านบาท
ออกจากบริษัทต้องตรวจสอบปูมหลังของบริษัทที่ยื่นขอกู้ด้วย แต่ที่สำคัญกว่านั้น ผู้ขอกู้มีอาชีพแม่บ้านและยามรักษา
ความปลอดภัยกลับไม่รู้เรื่องเลย จึงสะท้อนถึงการนำชื่อมาสวมรอยจดทะเบียนตั้งบริษัท จากนั้นก็อ้อมไปซื้อหุ้น ดังนั้น

นายเศรษฐา จะบอกว่า ไม่รู้คงไม่ได้เสียแล้ว “สิ่งที่นายเศรษฐา ต้องชี้แจงคือ หลักในการปล่อยเงินกู้จากบริษัทแม่
ให้บริษัทลูก และมาบริษัทนอมินี แล้วย้อนวนมาซื้อ (ที่ดิน) กลับอีกทอดหนึ่ง จึงเกิดสงสัยว่า ทำไมบริษัทแม่จึง
ไม่ซื้อตรง และทำไมต้องใช้บริษัทจดทะเบียนที่เจ้าตัวคนกู้เงินไม่รู้เรื่องด้วย ไม่เกี่ยวข้อง ซึ่งนายเศรษฐา จึงจำเป็น

ต้องชี้แจงเรียงข้อให้ชัดเจนก่อนถึงวันโหวตนายกฯ 22 ส.ค.นี้ ซึ่งในการโหวตนายกฯ วันที่ 22 ส.ค.นี้ มั่นใจว่า
นายเศรษฐา จะไม่ได้เสียงสนับสนุนถึง 375 เสียง คือ เกินครึ่งของรัฐสภา แม้เพื่อไทยมั่นใจได้เสียงสนับสนุนเกินแล้ว
แต่ยืนยันว่า นายเศรษฐา จะไม่ได้เป็นนายกฯ อย่างแน่นอน” นา ย จ ตุ พ ร กล่าว น า ย จ ตุ พร กล่าวด้วยว่า จากนี้ต้องจับตา

เพื่อไทยจะส่งเทียบเชิญพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กับพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) มาร่วมรัฐบาลจะเกิดขึ้น
ในวันไหน เพราะจะเป็นวันเริ่มหายนะของเพื่อไทยอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม แม้ทั้งสองพรรคนี้จะออกเสียงโหวตนายกฯ

ให้นายเศรษฐา ก็ตาม แต่ สว.จะไม่โหวตให้อยู่ดี น า ย จ ตุ พ ร กล่าวว่า คนเสื้อแดงที่ร่วมต่อสู้ ร่วมเป็นร่วมตาย ไม่เคยสำแดง
ตนว่าอยากจะได้อะไรจากเพื่อไทยเลย ซึ่งเป็นประชาชนของจริงจำนวนมาก และจะระบาดขึ้นด้วยอารมณ์สั่งสม ชิงชัง ดังนั้น
ที่ผ่านมา เพื่อไทยจำเป็นทอดเวลาตกลงร่วมรัฐบาลกับ พปชร. และ รทสช. เอาไว้ เพียงยับยั้งอารมณ์โกรธของประชาชน

ไว้ชั่วขณะหนึ่งก่อน เมื่อ 22 ส.ค. หากไม่ได้นายกฯ แล้ว การนัดวันโหวตครั้งใหม่ ในขณะที่อารมณ์ของผู้คนที่เห็นเพื่อไทย
ไปจับมือกับ พปชร.และ รทสช. จะเป็นเรื่องใหญ่มาก และจะมีการกดดันไปถึง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค และจะเกิด
ข้อเรียกร้องลุกลามไปมากขึ้น ขณะที่พรรค 2 ลุงวันนี้อยู่แบบสบายๆ ไม่หนักใจเหมือนเพื่อไทย ดังนั้น การสูญเสียอารมณ์
ความรู้สึกของประชาชนเท่ากับเสียการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ “ยิ่งเพื่อไทยไม่ได้นายกฯ อีกทั้งประชาชนสนับสนุนมาหมดไป

ชีวิตก็เข้าสู่บัดซบ แล้วคนเป็นหัวหน้ายังกลายมาเป็นสมุน สิ่งที่คิดว่าจะได้ก็ไม่ได้ แล้วจะเสียมากกว่านี้ เนื่องจากไปกระทำการ
ไม่ซื่อตรงกับประชาชน จึงจะหาความเจริญไม่ได้ นักการเมืองที่คิดไม่ซื่อตรงกับประชาชนจะเป็นยิ่งกว่าเป็นทรราช ยิ่งกล้าทรยศ
หักหลังความไว้เนื้อเชื่อใจของประชาชน และยังกล้าตระบัดสัตย์ ย่อมมีจุดจบแบบน่าสมเพชเวทนา แล้วจะสูญเสียยิ่งกว่าที่คิดไว้เสียอีก”

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *